เปิดประสบการณ์!!!ชานหมาก”หลวงปู่ขุ้ย” ศักดิ์สิทธิ์มาก!!ลองจนปืนแตก ก็ยิงไม่ออก!!

ประสบการณ์ชานหมากหลวงปู่ขุ้ย
สมัยก่อนตอนที่หลวงปู่มาอยู่ท่าด้วงใหม่ๆ วัตถุมงคลที่หลวงปู่ทำแจกลูกศิษย์คือ “ชานหมาก” ใครๆ ที่พกชานหมากของหลวงปู่ไปไหนมาไหนปลอดภัยตลอด ทำมาค้าขายดี ผีสางนางไม้คุณไสย์ไม่มีได้กิน ขึ้นรถลงเรือปืนผาหน้าไม่หยุดอยู่หมด ตำรวจดวนปืนกับผู้ร้าย โดนผู้ร้ายยิงใส่แต่ปืนยิงไม่ออกรอดชีวิตมาได้ ตำรวจนายนี้คิดว่าจริงหรือเปล่าที่เค้าพกชานหมากหลวงปู่ไว้ทำให้ปืนผู้ร้ายยิงไม่ออก จึงนำเอาชานหมากดังกล่าวไปผูกคอไก่แล้วทดลองยิง ปืนก็ยิงไม่ออกอีก พอหันกระบอกปืนยิงขึ้นฟ้า ปืนยิงออก ทดลองทำแบบนี้อยู่หลายครั้งจนแน่ใจว่าชานหมากของหลวงปู่ดีจริงๆ ตำรวจ ทหาร จึงแห่มาขอชานหมากของหลวงปู่กันอย่างจ้าละหวั่น

“ชานหมาก” หลวงปู่ขุ้ย ดังมากใครๆ ก็ต้องการ เป็นเครื่องรางชิ้นแรกที่สร้างชื่อให้ท่าน ข้างๆ หลวงปู่จะมีกระป๋องหมากที่ตำแล้ว พร้อมที่จะควักเอามาเคี้ยวได้ตลอดเวลาเพื่อแจกคน ท่านจะฉันหมากและคายชานหมากยื่นให้ ในเขตเพชรบูรณ์ไม่เคยพบคนที่พกชานหมากหลวงปู่ตายคาคอใคร ดังที่บอกว่าหญิงไทยในอเมริกาหมอฉีดยาไม่เข้า, นายอำเภอย้ายมาใหม่ ประมาทหลวงปู่ว่าไม่จริง ไปขอชานหมากมายิงเลย แต่ยิงไม่ออกและปืนแตกด้วย, ข่าวฟ้าผ่าคนที่หนองปลาไหลลงหน้าหนึ่งว่าตายยกครัว แต่ความจริงไม่ตาย คนเดียวที่มีชานหมากหลวงปู่ติดคอแค่สลบไปเท่านั้น, เด็กหนองไผ่โดนน้ำป่าพัดลอยน้ำรอดตายปาฏิหาริย์, ทหารค่ายเสนาณรงค์โดยยิงไม่เข้า และอีกมากกับประสบการณ์ของหลวงปู่
“ลูกอมชานหมาก” หลวงปู่เอาชานหมากที่เคี้ยวขณะบูชาครูและปลุกเสกพระ เก็บไว้ปั้นเป็นก้อนเสกอีกหลายเดือนจึงมอบให้พระอาจารย์ลอยไปถักเชือก หลวงปู่บอกว่า เอาไปติดตัว ใครมีชานหมากหลวงปู่ ยมบาลเขาไม่สนใจหรอก เขาว่าพระเฒ่ามันเพี้ยน แล้วท่านก็หัวเราะ ชานหมากถักเชือกอย่างดีแบบโบราณติดตัวง่าย ยังกับลูกอม พกไว้ที่ไหนก็ได้ห้ามหาย มีหลวงปู่และครูบาอาจารย์คุ้มอยู่ตลอดเวลา
หลวงปู่วิชัยรัตน์ (ขุ้ย) ฐิตธัมโม เจ้าอาวาสวัดซับตะเคีียน “อริยะสงฆ์แห่งลุ่มลำน้ำกงเทพเจ้าแห่งขุนเขาศักดิ์สิทธิ์ท่าด้วง ณ วัดซับตะเคียน” ต.ท่าด้วง อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ ท่านเป็นศิษย์หลวงพ่อทบและได้รับการถ่ายทอดวิชาทุกอย่างจากหลวงพ่อทบ ในบรรดานักปฎิบัติธรรมแล้วท่านเป็นพระยอดนักปฎิบัติ ชอบสันโดษ เป็นพระนักปฎิบัติวิปัสสนาชั้นเยี่ยม จนได้รับการขนานนามว่า “อริยะสงฆ์แห่งลุ่มลำน้ำกงเทพเจ้าแห่งขุนเขาศักดิ์สิทธิ์ท่าด้วง ณ วัดซับตะเคียน”

นับตั้งแต่หลวงปู่เข้าสู่ร่มกาสาวพักตร์ หลวงปู่ท่านก็ออกธุดงค์มาโดยตลอด จาริกไปยังสถานที่ต่างๆ มากมาย ชาติภูมิของหลวงปู่นั้น ชื่อเดิมนายวิชัยรัตน์ นามสกุล ท่อนทอง มีพี่น้องหลายคน วิทยฐานะจบการศึกษา ป.4 ในสมัยที่เป็นนักเรียนมีความเพียรในการศึกษาเล่าเรียนและได้คะแนนสูงที่สุดในชั้นเรียนสมัยที่โรงเรียนยังเป็นโรงเรียนวัด บิดาชื่อนายทองดี ท่อนทอง มารดาชื่อนางทองสุข ท่อนทอง ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทำนา ทำไร่ มีฐานะยากจน หลวงปู่เกิดเมื่อวันพุธ ที่ 20 พฤษภาคม 2454 ปีระกา (บ้างก็ว่าท่านเกิดปีมะแม ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ อายุท่านก็จะเป็นพรรษา) ราวปลายสมัยรัชกาลที่ 7

ซึ่งเป็นรัชสมัยที่มีการปลี่ยนแปลงอย่างมากในยุคนี้ ณ บ้านท่ามะทัน ต.ท่าอิบุญ อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ ในครอบครัวเกษตรกรที่ยากจนมาก หลวงปู่ท่านมีนิสัยเป็นคนเรียบร้อยถ่อมตนไม่โอ้อวด ขยันขันแข็งในการทำงาน ซื่อตรง สมถะ ไม่เคยคตโกงผู้ใด ไม่เลือกชั้นวรรณะ บวชสามเณรครั้งแรก พ.ศ.2466 เมื่ออายุได้ 12 ปี เพื่อจูงศพบิดาจากนั้นก็เล่าเรียนพระธรรมวินัย โดยเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อทบ หรือ พระครูวิชิตพัชราจารย์ ณ วัดชนแดน อีก 6 พรรษา หลังจากนั้นเมื่ออายุ 22 ปี วันที่ 4 มีนาคม 2476 ก็อุปสมบทเป็นพระ ณ วัดศรีมงคล ต.หล่มสัก อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ โดยพระมหาหยวกเป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการคำปันเป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการวันดีเป็นพระอนุสาวนาจารย์ มีฉายาใหม่ว่า ฐิตธัมโม หมายความว่า “ผู้มีธรรมอันมั่นคง” อุปสมบทเป็นพระอุปัฎฐาก (กระทำในสิ่งที่พระอาจารย์ทำ หรือหยิบจักไม่ได้) หลวงปู่ท่านเป็นคนหัวไว ฉลาด ศึกษาวิชาความรู้ต่างๆ กับหลวงพ่อทบ หรือพระครูวิชิตพัชราจารย์อีกครั้ง

โดยการเล่าเรียนวิชาอาคม เวทย์มนต์คาถา จนแก่กล้าชำนาญ คาถาเสกข้าวเปลือก ข้าวสาร ให้ไก่กิน ยังไม่ดัง ฯลฯ จนหมดจากนั้นก็มาจำพรรษาอยู่ที่วัดบ้างบุ่ง ต.ท่ามะทัน ซึ่งเป็นวัดในหมู่บ้านของท่านเรียนวิชานะโมตาบอด (วิชาคงกระพันชาตรี ยิง ฟัน ไม่เข้า) วิชาเขาควายแล้วลองวิชาโดยเขาศีรษะของท่านไปโหม่งชนกับต้นมะม่วงแก่ เปลือกหนา ต้นใหญ่ขนาดหลายคนโอบปรากฎว่ามะม่วงต้นนั้นเปลือกแตกกระจาย แต่ศีรษะท่านไม่มีรอยถลอก ฟกซ้ำ หรือแตกแม้แต่นิดเดียว แต่ทำให้ศีรษะของหลวงปู่ท่านบุบ ยุบ บริเวณข้างขมับ ซ้าย-ขวา ด้านบน ทั้งสองข้างมาตราบจนถึงในปัจจุบันนี้ เรื่องเล่าของหลวงปู่ก็ยังไม่หมด

มีอยู่ในครั้งหนึ่งปี 2487 ที่หลวงปู่ท่านฝึกกรรมฐานอย่างหนัก ท่านอดข้าว อดน้ำ 9 วัน 9 คืน เพราะอยากทดสอบกำลังใจกรรมของเวทนาที่เกิดขึ้น จนร่างกายท่านซูบผอม จนกระทั่งธาตุท่านเสีย (เจ็บป่วย) ถึงเกือบมรณภาพ ที่วัดบ้านบุ่ง ต.ท่ามะทัน สมัยตอนที่เรียนวิชากับหลวงพ่อทบ ช่วงอายุำได้ 23 พรรษา เพื่อจะให้บรรลุถึง แก่นแห่งพระธรรม แบบองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในเวล่าต่อมาท่านก็บรรลุกฎแห่งธรรม สามารถนั่้งสมาธิถอดจิตไปไหนมาไหนได้ แต่ก็ยังใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายสอนธรรมแก่ชาวบ้านอยู่เช่นแต่ก่อนเดิมจากคำบอกเล่าของลูกศิษย์ท่านทราบว่่า นอกจากท่านจะเป็นผู้ทรงวิทยาคุณทางเวทย์มนต์ คาถา ไสยเวทย์ อย่างมากมายมหาศาลแล้วท่านยังมีความจำเป็นเลิศ สามารถอ่านเขียนได้ทั้งภาษาไทย เขมร บาลี อย่างช่ำชอง หาพระองค์ใดรุ่นท่านในสมัยนั้นเทียบเสมอได้ยาก มากระทั่งในปี 2507 อายุได้ 43 พรรษาหลวงปู่ได้เลื่อนสมณะศักดิ์เป็นเจ้าคณะตำบลท่าอิบุญ โดยจำพรรษา ณ วัดบ้านบุ่ง ต.ท่าอิบุญ อ.หล่่มสัก จ.เพชรบูรณ์ แต่ด้วยความที่หลวงปู่เป็นพระชอบสมถะ ชอบสันโดษไม่ชอบความวุ่นวายชอบการปฎิบัติภาวนามากกว่าการบริหารการจัดการ ไม่ยึดติดกับยศฐาบรรดาศักดิ์ มักน้อย ไม่นิยมสะสมเงินทอง หากมีก็จะเอามาสร้างวัดวาอารามทั้งหมด จวบจนกระทั่งปี พ. ศ. 2517 หลวงปู่ได้เดินธุดงค์มายัง ตำบลวังท่าดี และตำบลท่าด้วง

ในสมัยนั้นยังเป็นป่าดงดิบลึก ต้องข้ามภูเขา ผ่านแม่น้ำ ห้วย หนองคลองบึง แต่ป่าเขียวชอุ่มชุ่มชื้น อากาศเย็นสบาย ธารน้ำใส สวยงาม เต็มไปด้วยฝูงปลาผลไม้นานาพันธุ์หลวงปู่เมื่อท่านเห็นความสงบเงียบ ร่มรื่น อากาศสดชื่นบริสุทธิ์ จึงคิดว่าสถานที่แห่งนี้น่าจะเป็นสถานที่ ปฎิบัติธรรมภาวนาได้เป็นอย่างดี เหมือนกับว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในป่านั้นดลบันดาลใจท่านมาแสวงบุญอยู่ที่นี้ หลวงปู่เมื่อคิดแล้ว ดำริว่า ท่านจะมาสร้างวัดที่นี่เพื่อสั่งสอนธรรมะให้แก่ชาวบ้านตำบลแห่งเทือกเขา ท่าด้วง หมู่ที่ 1 บ้านซับตะเคียนแห่งนี้ หลวงปู่จึงได้ปฎิบัติตามวาจาที่ดำริไว้ ท่านได้ลาออกจากการเป็นเจ้าคณะตำบลท่าิอิบุญทันที รวมอายุการเ็ป็นเจ้าคณะตำบลท่าอิบุญของท่านได้ 10 พรรษา แล้วย้ายมาสร้างวัดซับตะเคียน เมื่อปี พ.ศ. 2517 ท่านจำพรรษาอยู่ที่นี่นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เมื่อครั้นหลวงปู่มาอยู่แต่เดิมแรกนั้น พื้นที่บริเวณนั้นเป็นป่าสวยงามก็จริงอยู่แต่แอบแฝงไปด้วยมวลสิงสาลาสัตว์ โขลงพญาช้าง โขลงพญาเสือกินคนชุกชุม สัตว์ที่มีพิษดุร้ายพญางูใหญ่สูงเท่าต้นมะพร้าวมากมายไปด้วย โรคภัย ไข้เจ็บ อันตรายนานานับประการ โดยเฉพาะโรคไข้มาลาเรีย ไข้ป่า ที่มีการระบาดมากในสมัยครั้งกระนั้น อีกทั้งการเดินทางก็ต้องเดินด้วยเท้าอย่างเดียวเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าไปถึงสถานที่ได้ อาจคงจะเป็นเพราะหลวงปู่ท่านมีบุญบารมีสูงส่ง อีกทั้งต้วของท่านหลวงปู่มีอาคมแก่กล้า รู้เรื่องการปรุงยาสมุนไพรเป็นเลิศ และยาวิเศษ หลวงปู่ท่านกล่าวว่าเป็นยาวิเศษที่สุด ที่ดีที่สุดในโลก ทำให้ท่านแคล้วคลาดในสิ่งทุกข์ยากต่างๆ นานา ได้ทุกๆ กรณี คือ ธรรมะโอสถ นั้นเอง

หลวงปู่ท่านใช้การดำรงชีวิตเหมือนแบบชาวป่า ชาวเขา ทั่วไป อีกทั้งชาวบ้านก็ยังเป็นชาวบ้านท้องถิ่นดั้งเดิมในพื้นที่ไม่รู้หนังสือ ไม่รู้สภาพบ้านเมือง อาศัยอยู่กันเป็นกลุ่มเล็กๆ แต่มีน้ำใจต่อกันไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน ภาษาที่ใช้ยังคงใช้ภาษาท่าด้วง หรือภาษาชาวบ้านอยู่แบบเดิม พูดจากันไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าพระคืออะไร ทำบุญคืออะไร ศาสนาคืออะไร มีประโยชน์อย่างไรแต่เนื่องด้วยที่หลวงปู่ท่านมีความวิริยะ อุตสาหะ ตั้งใจจริง เป็นทุนเดิม ที่้ต้องการสืบทอดเจตนารมณ์ตามหลักพระพุทธศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จริยาวัตรประจำวันท่านก็ดูงดงามมีสง่า ท่านจึงสามารถลงมาโปรดสัตว์ สอนธรรมตามหลักของพระพุทธศาสนาให้แก่ชาวบ้านที่ไม่มีความรู้จักคำว่า ธรรมะคืออะไร เหล่านั้นได้ซึมซับแห่งพระธรรม ที่ละัเล็กที่ละน้อยจนกระทั่งชาวบ้านได้รับรู้ เข้าใจนำไปยึดถือปฎิบัติจนเป็นวัฒนธรรมประเพณีนิยมแห่งดินแดนลุ่มลำน้ำกงและขุนเขาศักดิ์สิทธิ์ท่่าด้วง ตราบจนถึงปัจจุบัน

ทุกวันนี้เคยมีผู้กล่าวไว้ว่า ถ้าหากผู้ใดที่มาเยี่ยมเยือนอำเภอหลองไผ่แล้วไม่ได้มากราบไหว้ หลวงปู่วิชัยรัตน์ (ขุ้ย) ฐิตธมฺโม” อริยะสงฆ์แห่งลุ่มลำน้ำกงเทพเจ้าแห่งขุนเขาศักดิ์สิทธิ์ท่าด้วง ณ วัดซับตะเคียน” ละก็เหมือนจะมาไม่ถึงอำเภอหนองไผ่เลยทีเดียว วัดซับตะเคียนนั้น เป็นเพียงแค่วัดเล็กๆ วัดหนึ่งที่มีเกจิอาจารย์อย่างหลวงปู่ขุ้ย ฐิตธมฺโม อริยะสงฆ์แห่งลุ่มน้ำกงเทพเจ้าขุนเขาศักดิ์สิทธิ์ดินแดนท่าด้วง ใครๆ ต่างก็เรียกชื่อท่านติดปากว่า หลวงปู่ขุ้ย เพราะว่าท่านเป็นพระใจดีมีความเป็นกันเอง ไม่ถือตัวหรือโอ้อวดบุญญาบารมี

ทำให้ท่านเป็นพระเกจิ ที่ชาวอำเภอหนองไผ่เคารพรักและศรัทธามากที่สุด ชาวอำเภอหนองไผ่ อำเภอใกล้เคียงต่างเลื่อมใสมาฝากตัวเป็นศิษย์ท่านก็มากมาย มีทั้งนัการเมืองชื่อดัง ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน บริษัทห้างร้าน ทั้งในและต่างจัีงหวัดทั่วประเทศเลย ตอนนี้ศิษย์ท่านมีเกือบทั่วโลกก็ว่าได้ แม้แต่ในกรุงเทพฯ ศิษย์ท่านก็มีมาก มาเยี่ยมท่านบ่อยครั้งเพื่อให้ท่านปลุกเสกวัตถุมงคลบ้าง รดน้ำมนต์บ้าง ปัดเป่าต่างๆ ในทุกวันนี้ที่วัดซับตะเคียนนั้นมีผู้เลื่อมใสศรััทธามากราบไหว้บูชาหลวงปู่ท่านวันหนึ่งประมาณ 300 – 500 คนต่อวัน หรือมากกว่านั้น หลายครั้งทำให้ท่านถึงกับอาพาธเลยทีเดียว แต่ถึงกระนั้นท่านก็ยังปฏิบัติอยู่อย่างนั้นไม่เคยว่างเว้นแม้แต่สักวันเดียว ด้วยเพราะท่านเป็นพระเกจินักบุญที่มีแต่ให้ นายนิธิภัทร เสนาะดนตรี นายอำเภอหนองไผ่ คนปัจจุบันท่านก็เป็นศิษย์หลวงปู่ท่าน เช่นกัน ประสบการณ์ที่หลวงปู่ออกเดินธุดงค์นั้นมีมากมายจะเล่าไปก็ไม่มีวันจะเล่าได้หมด เพราะท่านธุดงค์ไปหลายที่ เช่น พม่า ลาว เขมร ท กัมพูชา เอาเป็นว่ามาที่วัดแล้วเรียนถามท่านด้วยตนเองจะดีกว่าหลวงปู่ขุ้ยท่านเป็นคนหัวสมัยใหม่ทันสมัยใช้หลักวิทยาศาสตร์ในการตัดสินใจใช้เหตุและผลพิจารณาเสมอ ท่านจะไม่ส่งเสริมเรื่องที่ไม่มีเหตุผลแต่ท่านจะใช้กุศสโลบายและอุบายปัญญาในการสอนลูกศิษย์สม่ำเสมอ ต้องเรียนรู้กับท่านอย่างใกล้ชิดจึงจะเข้าถึงท่าน ก็คงจะมีแต่ลูกศิษย์ท่านเท่านั้นที่เข้าใจกุศสโลบายของท่านได้ดีกว่าใครๆ ด้านวัตถุมงคลนั้นท่านไม่ได้มีวัตถุมงคลสิ่งอื่นใดเลย นอกจากชานหมากอันวิเศษของท่านเท่านั้น อื่นๆ นั้นท่านไม่ได้สร้างขึ้นทั้งสิ้น แต่เรื่องประสบการณ์ชานหมากของท่านมีเรื่องเล่ามากมาย ขอยกมาเล่าให้รับทราบดังนี้ ในครั้งนั้นมีผ้าป่ามาจากกรุงเทพฯ กับจ.ชลบุรี มาถวายผ้าป่าที่วัดหลวงปู่ หลังจากที่หลวงปู่ให้ศีลให้พรเสร็จแล้วก็มีโยมท่านหนึ่งขอวัตถุมงคลจากท่าน แต่เนื่องจากวัดซับตะเคียนเป็นวัดเล็กๆ จึงไม่มีวัตถุมงคลที่ทำขึ้นสักชิ้นเดียวที่จะมอบให้ หลวงปู่ท่านเป็นเกจิที่ฉลาดหลักแหลมเช่นเดียวกับอาจารย์ของท่านคือ พระครูวิชิตพัชราจารย์ (หลวงพ่อทบ) จึงนำชานหมากที่ปั้นกลมๆ จำนวนหนึ่งกับผ้าจีวรเช็คน้ำหมากของหลวงปู่ให้ลูกศิษย์ตัดเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วปลุกเสกโดยหลวงปู่ จากนั้นก็บอกโยมให้นำไปแบ่งปันกันให้ทั่วถึง และนำไปอัดกรอบพระใส่สายสร้อยคล้องคอบูชา หรือฝากให้ญาติพี่น้องห้อยคอเป็นวัตถุมงคลก็ได้ จะแคล้วคลาดปลอดภัยจากภัยอันตรายทั้งหมดทั้งปวง

หนึ่งในบรรดาคนที่ได้มาวันนั้นมีหญิงวัยกลางคนท่านหนึ่งซึ่งเดินทางไปทำงานยังประเทศสหรัฐอเมริกาแล้วเกิดป่วยไข้ เพราะการปรับตัวเข้ากับอากาศที่นั่นยังไม่ได้ จึงไปหาหมอที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อจะทำการรักษาตัว ได้เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดมหัศจรรย์อย่างยิ่งเกิดขึ้น เมื่อหมอที่นั่นพยายามเท่าไรก็ฉีดยาไม่ได้เนื่องจากแทงเข็มไม่เข้า โดยหาสาเหตุไม่ได้ว่าทำไมเกิดจากอะไร จึงพาไปยังห้องเอ็กซเรย์เพื่อตรวจเช็ค แต่ก็ำไม่พบอะไรนอกจากสร้อยคอที่เป็นลูกอมชานหมากหลวงปู่อยู่ในคอ ฝรั่งงงถามผู้หญิงวัยกลางคนชาวไทยที่ไม่สบายว่ามีอะไรดี ถึงฉีดยาไม่ได้ ผู้ป่วยที่เป็นหญิงวัยกลางคนชาวไทยก็งงเช่นกัน พอนึกขึ้นได้จึงลองสร้อยคอลูกอมชานหมากหลวงปู่ออกแล้วทดลองฉีดยาใหม่ คราวนี้ฉีดได้เป็นปกติ และนับจากวันนั้นมาก็ได้มีประสบการณ์ที่แคล้วคลาดหลายครั้ง จึงโทรศัพท์มาคุยบอกกับญาติที่เมืองไทยว่าได้เกิดเรื่องประหลาดอย่างนี้เกิดขึ้นกับตนอยากมานมัสการหลวงปู่ที่วัดอีกครั้ง หลังจากนี้นเมื่อกลับมาพักผ่อนในประเทศไทยช่วงฮอลิเดย์ จึงนำผ้าป่ามาถวายถึงวัดด้วยรถตู้ และรถทัวร์คันใหญ่หลายคันเพื่อกราบไหว้หลวงปู่ขุ้ย ก่อนกลับหญิงวัยกลางคนท่านนั้นก็ขอชานหมากที่หลวงปู่ปลุกเสกให้กลับไปแจญาติพี่น้องกันถ้วนหน้า จากนั้นต่อมาลูกศิษย์หลวงปู่เมื่อเห็นถึงบารมีและความศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ทำวัตถุมงคลแล้วให้หลวงปู่ปลุกเสกขึ้นหลายรุ่นด้วยกัน   เป็นการแจกให้ฟรีแล้วแต่ญาติโยมจะบริจาค

…เมื่อปลุกเสกเสร็จได้มีลูกศิษย์เป็นวัยรุ่น หมู่ที่ 4 ต.กองทูล อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ ได้ลองของทันทีโดยนำปืนลูกซองสั้น (อีโบ๊ะ) เล็งปากกะบอกปืนไปยังรูปหล่อรุ่นแรกเนื้อทองเหลืองและเนื้ออาปาก้า แค่ยิงครั้งแรกเท่่านั้นปากกระบอกปืนก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ท่ามกลางความงุนงงของแต่ละคนที่ได้ลองของในวันนั้น

….มีอีกหลายประสบการณ์ที่เกิดขึ้น แต่จะนำประสบการณ์ที่มีคนได้ทดลองเร็วๆ นี้คือ เมื่อวันพุธ 7 มีนาคา พ.ศ. 2550 พนักงานขับรถของหน่วยงานแห่งหนึ่งในอำเภอหนองไผ่ ได้ทดลองกับรูปหล่อหลวงปู่ขุ้ย เนื้ออาปาก้ารุ่นแรก โดยนำปืน .38 ลูกโม่ที่ได้ซื้อมาใหม่เอี่ยม มาทำการทดสอบโดยลั่นไกยิงจำนวน 4 นัดแต่ไม่แตก ลูกปืนไม่ออก ไม่มีเสียงดัง พอยิงขึ้นฟ้านัดที่ 5 เท่านั้น ดังเปรี้ยงท่านกลางความงงสงสัยกันแบบนำเอาหลักวิทยาศาสตร์มาคุยกันแต่ก็หาสาเหตุไม่พบ อีกทั้งผู้อำนวยการโรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่งในอำเภอหนองไผ่ได้ประสบอุบัติเหตุรถตกเขา รถพังยับ แต่ร่างกายท่านผู้อำนวยการโรงเรียนท่านนั้นไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่รอยแมวข่วน…

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : เพจศิษย์มีครู